สาระไอทีน่ารู้
ใช้ไอทีอย่างไรให้ปลอดภัย !
1.ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรง
ควรใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน และยากต่อการเดา โดยประกอบด้วยตัวอักษรใหญ่ ตัวอักษรเล็ก ตัวเลข และ สัญลักษณ์ เช่น S7trong#Passw0rd
หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านซ้ำ กับเว็บไซต์อื่นๆ หากเว็บไซต์ใดถูกแฮก รหัสผ่านของคุณจะไม่ถูกนำไปใช้เข้าถึงบัญชีอีเมลของคุณ
เปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ และ หากเป็นไปได้ควรตั้งรหัสผ่านใหม่ทุกๆ 3-6 เดือน
2.เปิดใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน 2FA
การเปิดใช้งาน 2FA เพิ่มชั้นการป้องกันให้กับบัญชีอีเมล เมื่อเข้าสู่ระบบนอกจากกรอกรหัสผ่านแล้ว ยังต้องใช้ OTP ที่ส่งมาทาง SMS หรือผ่านแอป เช่น Google Authenticator เพื่อยืนยันตัวตน
3.อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
อีเมลฟิชชิง มักมาในรูปแบบของอีเมลที่ดูเหมือนมาจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมีเจตนาหลอกลวงเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว
หากอีเมลดูน่าสงสัย อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบ ให้ตรวจสอบผู้ส่งก่อน หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของบริษัทโดยตรงผ่านเบราว์เซอร์
4.หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวทางอีเมล
อย่าส่ง ข้อมูลที่สำคัญหรือเป็นความลับ เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต หรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ทางอีเมล หากต้องส่งข้อมูลสำคัญ ให้ใช้วิธีการเข้ารหัส
5.ตรวจสอบที่อยู่อีเมลผู้ส่งอย่างรอบคอบ
แม้อีเมลจะมีลักษณะดูเป็นทางการ แต่อาจถูกปลอมแปลงได้ ตรวจสอบที่อยู่อีเมลผู้ส่งอย่างละเอียด เช่น ดูว่ามาจากโดเมนที่ถูกต้องหรือไม่ เช่น example@company.com แทนที่จะเป็น example@company-xz.com
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง loT
ประโยชน์ของ IoT (Internet of Things)
1.เพิ่มประสิทธิภาพ
ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการใช้ทรัพยากร เช่น พลังงานหรือเวลา
2.ความสะดวกสบาย
ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและติดตามสถานะของอุปกรณ์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่
3.การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
ระบบสามารถแจ้งเตือนเกี่ยวกับการบำรุงรักษาหรือปัญหาของอุปกรณ์ได้ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น
4.การจัดการข้อมูล
ข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT สามารถนำมาใช้ในการวิเคาะห์เพื่อตัดสินใจในการจัดการหรือปรับปรุงกระบวนการต่างๆได้
1.บ้านอัจฉริยะ (Smart Home)
อุปกรณ์ต่างๆในบ้าน เช่น หลอดไฟ กล้องวงจรปิด เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนได้ เช่น การเปิด-ปิดไฟ จากระยะไกล หรือการตั้งเวลาให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานตามที่เรากำหนด
2.การขนส่งอัจฉริยะ (Smart Transportation)
รถยนต์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับสภาพถนน การจราจร และใช้ระบบนำทางที่อัพเดตแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT อื่นๆ เพื่อรับการบำรุงรักษาอัตโนมัติ
3.การดูแลสุขภาพ (IoT in Healthcare)
อุปกรณ์ตรวจสุขภาพ เช่น สมาร์ทวอทช์ สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพ เช่น การเต้นของหัวใจ การนอนหลับ และระดับออกซิเจนในเลือด และสามารถส่งข้อมูลไปยังแพทย์หรือโรงบาลเพื่อติดตามสุขภาพของผู้ป่วยระยะยาว
4.การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture)
อุปกรณ์ IoT ในภาคการเกษตรสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ ความชื้นในดิน และระดับน้ำในแปลงเพาะปลูก ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการปลูกพืชหรือการรดน้ำได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
5. อุตสาหกรรมและโรงงานอัจฉริยะ (Smart Industry)
IoT สามารถช่วยในการตรวจสอบและควบคุมเครื่องจักรในโรงงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยการเชื่อมต่ออุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องจักร เช่น อุณหภูมิ ความเร็ว หรือการสึกหรอของชิ้นส่วน